แมวสายพันธุ์สฟิงซ์ มีลักษณะเด่นในเรื่องไม่มีขน ถึงแม้หนังของน้องจะดูยับย่นไปบ้าง แต่สฟิงซ์ก็เป็นสัตว์ที่เป็นมิตร น่ารัก และมีพลังต้องการความสนใจจากมนุษย์มาก ๆ ตรงกันข้ามกับรูปลักษณ์ที่สง่างามและการแสดงออกที่อาจดูมีมาดไปบ้าง ถ้าคุณอยากเลี้ยงสฟิงซ์ในบทความนี้เราก็นำข้อมูลของน้องสายพันธุ์นี้มาฝากกัน
1. ช่วงน้ำหนัก:
เพศผู้ : ขนาดกลาง: < 5 กิโล
เพศเมีย : ขนาดกลาง: < 5 กิโล
2. สีตา: แตกต่างกันไป
3. ช่วงอายุ : 8-14 ปี
4. ความต้องการทางสังคม : สูง
5. ลักษณะของขน : แทบไม่มีขน
6. ความต้องการในการดูแลโดยรวม : สูง
สฟิงซ์เป็นแมวขนาดกลางที่มีลักษณะโดดเด่นมาก มีเอกลักษณ์คือเป็นแมวที่ไม่มีขน มีรอยย่น และหูใหญ่ มีรูปร่างเพรียวบางและมีกล้ามที่หนาแน่น มีกล้ามเนื้อสวยงาม หัวเป็นรูปสามเหลี่ยม มีตากว้างและโหนกแก้มสูง คุณลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของสฟิงซ์คือหูขนาดใหญ่ที่มีรูปทรง3 เหลี่ยมซึ่งคล้ายกับหูค้างคาว แมวสฟิงซ์ชอบอวดตัวเพื่อเรียกร้องความสนใจ อีกทั้งยังเป็นมิตรมาก อีกทั้งยังเต็มไปเต็มไปด้วยความขี้สงสัยและฉลาดมาก สฟิงซ์จึงเหมาะที่จะเป็นแมวเลี้ยงในบ้านโดยเฉพาะบ้านที่มีเด็ก ๆ
น้องเป็นแมวสายพันธุ์ที่แข็งแรงและบึกบึน
แมวสฟิงซ์เป็นแมวสายพันธุ์ที่แข็งแรงและบึกบึน แต่บางครั้งแมวสฟิงซ์ก็มีแนวโน้มที่จะพบกับปัญหาผิวหนัง เช่น ลมพิษ หรือรังแค ซึ่งทำให้เกิดแผลพุพองบนร่างกาย อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคปริทันต์ (ปัญหาภายในช่องปาก) ดังนั้นควรได้รับการแปรงฟันและตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำ สิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนเลี้ยงน้องสายพันธุ์นี้ คือมีนิสัยที่กระตือรือร้นที่ชอบกระโดด เล่นและปีนป่าย รวมถึงการข่วนตามปกติของแมว ดังนั้นจึงควรมีพื้นผิวทีเหมาะสำหรับการปีนและเกาะ
แมวสายพันธุ์นี้เริ่มเป็นที่รู้จักและเริ่มเป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้เลี้ยงแมวแปลก ๆ ชาวไทย ข้อดีของการเลี้ยงแมวพันธ์นี้ก็คือขนจะน้อยและบางมาก ๆ จนบางครั้งแทบจะมองไม่เห็นเลย ทำให้หมดปัญหากวนใจในเรื่องของขนติดเสื้อหรือผู้ที่อาจจะแพ้ขนแมวอีกด้วยนอกจากนี้แมวสายพันธุ์นี้ยังเป็นแมวที่มีความเก๋ไก๋ มาจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูปราดเปรียวดูเท่เหมือนกับแมวนักแฟชั่น แต่ด้วยความที่ผิวหนังไม่มีขนนี้เอง จึงอาจจะทำให้ต้องได้รับความอบอุ่นจากการสวมเสื้อในช่วงที่มีอากาศหนาว แมวสฟิงซ์บางตัวมีผิวหนังที่เต่งตึงคล้ายไก่ต้ม แต่บางตัวก็มีผิวหนังที่ค่อนข้างยับย่นยู่ยี่
